Kawasaki Serpico (คาวาซากิ เซอร์ปิโก้) มอเตอร์ไซค์

“คาวา…สร้างคุณภาพด้วยเทคโนโลยี”
ประโยคสโลแกนของทางค่ายรถจักรยานยนต์ Kawasaki ที่สอดคล้องกับผลงานการสร้างสรรค์เทคโนโลยี่ต่างๆ รวมไปถึงรถจักรยานยนต์
หากไล่เรียงต้นตระกูลสปอร์ต 2 จังหวะ ขนาด 150cc ของทาง Kawasaki ในประเทศไทย ซึ่งมีจุดเริ่มต้นที่รุ่น Kr150R ในปี 2532 หลังจากนั้นเพียงแค่ 2 ปีทาง Kawasaki ก็ได้ทำการขยายกลุ่มตลาดใหม่ โดยการนำรถรูปทรงคลาสสิกสปอร์ตที่กำลังนิยมอย่างมากในประเทศอเมริกาและญี่ปุ่นมาทำตลาดในปี 2534 ภายใต้รหัสว่า Victor 150 จวบจนมาถึงในปี 2536 ทางค่าย Kawasaki ก็ได้ขยายกลุ่มตลาดใหม่อีกครั้ง ซึ่งในครั้งนี้มีรหัสว่า Serpico โดยจัดเป็นรถประเภทสปอร์ตทัวร์ริ่ง
ทั้งนี้สังเกตุได้ว่าทาง Kawasaki จะทำการขยายตลาดรถประเภทต่างๆ เข้าสู่ท้องตลาด โดยมีระยะห่างกันประมาณ 2 ปี
Kawasaki เลือกที่จะเปิดตัว Serpico อย่างเป็นทางการในช่วงกลางๆ เดือนมกราคม ปี 2536 โดยสถานที่จัดงานมีความพิเศษกว่าค่ายรถจักรยานยนต์อื่นๆ ตรงที่ทาง Kawasaki เลือก “เธค” ที่ทันสมัยในช่วงเวลานั้นเป็นที่เปิดตัว แทนที่จะเป็นโรงแรมแบบค่ายอื่นๆ ทั้งนี้ Serpico มาพร้อมกับสโลแกนที่ว่า “คาวาซากิเซอร์ปิโก้...ต้นแบบรถสปอร์ต...แห่งอนาคต”



สำหรับ Kawasaki Serpico (2536) มีราคากลางอยู่ที่ 55,000 บาท
นอกจากนี้ทาง Kawasaki เลือกที่จะนำรถรุ่นใหญ่อย่างเจ้า ZZR มาทำเป็นต้นแบบให้กับ Serpico อีกด้วย ทั้งนี้ ZZR ขึ้นชื่อว่าเป็นรถที่ได้รับการออกแบบในด้านแอร์โรไดนามิกที่ดีของค่ายรุ่นหนึ่ง

สเปคข้อมูล

ตัวถังทรงแปลคู่ (E-Box Frame) ซึ่งถูกออกแบบให้มีน้ำหนักเบาในส่วนอัตราพื้นที่เท่ากัน อีกทั้งยังให้ความแข็งแกร่ง ไม่ใหญ่เทอะทะ รวมถึงส่งผลให้การทรงตัวรถดีเยี่ยม และคุณสมบัติพิเศษของ E- Box Frame คือสามารถแยกส่วนเฟรมออกจากันได้ ระหว่างหน้ากับหลัง ซึ่งสะดวกต่อการในการซ่อมแซมยิ่งขึ้นกว่าเฟรมแบบชิ้นเดียว
โช๊คอัพหน้า Telescopic ที่ให้แกนโช๊คขนาด 33 ม. ซึ่งเป็นขนาดของแกนโช๊คปกติของรถขนาด 150cc ของทาง Kawasaki อยู่แล้ว ในส่วนของโช๊คอัพหลังเป็นแบบโช๊คเดี่ยว โดยสามารถปรับระดับความอ่อนหรือแข็งได้ 5 ระดับ
เรือนไมล์พร้อมวัดรอบไฟฟ้า ลดภาระของเครื่องยนต์เนื่องจากไม่มีสายไมล์และฟันเฟื่องที่เครื่องยนต์ ทำให้ไม่เกิดการกินกำลังของเครื่องยนต์
โคมไฟหน้า 2 ดวงในเลนซ์เดียวกัน เพิ่มความสว่างเป็น 2 เท่า พร้อมทั้งไฟเลี้ยวหน้าที่กลมกลืนไปกับแฟริ่ง ในส่วนของไฟท้ายเป็นแบบ 3 ดวง สว่างชัดเจนจากระยะไกล
ทั้งนี้สำหรับแฟริ่ง Serpico (2536) ยังเป็นฟูลแฟริ่งแบบโชว์เครื่องยนต์


----------------------------
Kawasaki Serpico (SS) รุ่น 1 (2537)
ถัดมาในปี 2537 ทาง Kawasaki ก็ได้ส่ง Serpico SS รุ่น 1 เข้าสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปจากใน Serpico รุ่นแรกอย่างชัดเจน ได้แก่ ล้อแม็ก แฟริ่งที่เป็นแบบฟูลปิดเครื่องยนต์บางส่วน รวมไปถึงสีรถ และสติกเกอร์ในส่วนของเครื่องยนต์ก็มีการเปลี่ยนแปลงด้วยเช่นกัน โดย Serpico (SS) มาพร้อมกับเทคโนโลยี “ซุเปอร์คิปส์” (Super KIPS) ที่ออกแบบให้องศาช่องพอร์ทมีรูปทรงวงรีขนาดใหญ่ ทำให้การคายไอเสียทำได้อย่างดีเยี่ยมในช่วงความเร็วสูง นอกจากนี้ยังมีกลไกการทำความสะอาด KIPS อีกด้วย โดยเป็นระบบที่มีชื่อว่า Auto Cleaning
*ระบบ (Super KIPS) และ Auto Cleaning กลไกการทำความสะอาด KIPS
ข้อมูล




----------------------------
Kawasaki Serpico (SS) รุ่น 2 (2538)
ในปี 2538 ทาง Kawasai ได้ทำการปล่อย Serpico SS รุ่น 2 เข้าสู่ท้องตลาด โดยมีการเปลี่ยนแปลงไมล์จากวัดรอบไฟฟ้ากลับเป็นวัดรอบแบบสายแทนในส่วนของเครื่องยนต์เหมือนกับ Serpico (SS) รุ่น 1 (2537)



----------------------------
Kawasaki Serpico (SS) รุ่น 3 (2539)


ในส่วนของเครื่องยนต์เหมือนกับ Serpico (SS) รุ่น 1 (2537)
----------------------------
Kawasaki Serpico (SST) รุ่น 4 (2540)


สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมคือ ท่อไอเสีย เนื่องจากมีกฏหมายควบคุมมลพิษ ทำให้ทาง Kawasaki ต้องติดตั้ง แคทตาไลติค คอนเวอร์ แบบ 2 ตอน เพื่อช่วยปรับสภาพไอเสียตรงตามค่ามาตาฐานในระดับ 3
ในส่วนของเครื่องยนต์เหมือนกับ Serpico (SS) รุ่น 1 (2537)

----------------------------
Kawasaki Serpico SE (2540-2541)



ทั้งนี้ทาง Kawasaki ได้ถูกจำกัดการผลิต Serpico SE ไว้ที่ 1,500 คันเพียงเท่านั้นสำหรับในปี 2540 โดยมีราคาอยู่ที่ 73,000 – 78,000 โดยประมาณ (ราคาแพงกว่า Nsr150 SP = 75,500 บาท )
Serpico SE คือรถที่ถูกปรับแต่งเครื่องยนต์มาจากโรงงาน โดยสามารถทำแรงม้าสูงสุดได้ที่ 40 แรงม้า ซึ่งชุดเสื้อสูบที่ถูกโมดิฟายใหม่หมด โดยเฉพาะฝาสูบทองที่เป็นสูตรเฉพาะของทาง PDK นอกจากนี้ยังปรับจานไฟให้แก่ขึ้นเล็กน้อย ผสมผสานกับการใช้ท่อสูตรจากญี่ปุ่น Tsukigi Racing

ข้อมูลสเปค

-หน้า 1.85*17 เป็น 2.15*17
-หลัง 2.15*18 เป็น 2.50*17

----------------------------

----------------------------
ตระกูล SE ท้าชน Honda
เมื่อยักษ์ใหญ่ของรถ 2 จังหวะในช่วง 2540 มาประชันกำลังกัน โดยมีทาง Kawasaki และ Honda เพียงเท่านั้น ทั้งนี้ในส่วนของค่าย Suzuki และ Yamaha รถขนาด 150cc ของค่ายทั้ง 2 ไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร ทำให้กระแสของทั้ง 2 ค่ายนี้เสื่อมถอยลงไปทั้งนี้ความคิดส่วนตัวของผู้เขียนยังคงยกให้กับทาง Honda Nsr150 Sp เป็นจุดสูงสุดของรถขนาด 150cc ในประเทศไทย เนื่องจากงานออกแบบ แนวความคิดต่างๆ ที่ใส่ลงไปในการออกแบบและผลิต แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าในเรื่องของความเร็วแรงของรถ น้ำเสียงส่วนใหญ่ยังยกทางกับทาง Kawasaki มากกว่า
การเลือกซื้อรถสักคันคงมีองค์ประกอบต่างๆ ที่นอกเหนือจากความเร็วแรง งานออกแบบดีไซค์ มาเป็นส่วนประกอบด้วย รถทุกรุ่นต่างมีข้อดีข้อด้อยของตัวมันเองอยู่เสมอ เพียงแต่ว่าจะสามารถยอมรับข้อดีหรือข้อด้อยได้หรือไม่
สุดท้ายนี้หากให้ผู้เขียนเลือกรถ 2 จังหวะที่เป็นที่สุดของทาง Kawasaki ตัวของผู้เขียนขอยกให้กับตระกูล SE เนื่องจากเป็นผลงานที่ทาง Kawasaki จงใจสร้างสรรค์เพื่อต่อกรกับคู่แข่งค่ายอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องงานออกแบบ รายละเอียดต่างๆ รวมไปถึงเครื่องยนต์ที่สร้างความเป็นตำนานให้กับทาง Kawasaki
إرسال تعليق